Friday, October 26, 2012

เมื่อลูก... ริลองรัก


 

พอลูกเข้าวัยรุ่น เรื่องรักวุ่นๆ ของลูก ก็ตามมากวนใจพ่อแม่ให้รู้สึกว้าวุ่นอยู่ไม่น้อย ด้วยอาบน้ำร้อนมาก่อน ก็ย่อมจะรู้ว่ารักในวัยนี้ช่างหอมหวลชวนให้ลิ้มลองขนาดไหน ถ้าลองได้รักแล้วก็ยากที่จะหักห้าม และถ้ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ...แต่ครั้นจะปล่อยเลยตามเลย ก็อดห่วงกังวลไม่ได้ว่าจะเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ

หากวันดีคืนดี เราเกิดไปเห็นลูกเดินจูงมือกับผู้ชายอยู่นอกบ้าน หรือลูกเดินเข้ามาแล้ว บอกกับเราว่า "แม่ขานี่แฟนหนู"  คุณจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

ถ้าเป็นแบบนี้เห็นทีต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับกับสถานการณ์ต่างๆที่อาจจะมาเคาะประตูบ้านเราในไม่ช้านี้เสียแล้วละ

อย่างแรก ต้องยอมรับก่อนว่า การที่ลูกเราจะมีแฟน หรือคบเพื่อนต่างเพศนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน หากที่ผ่านมาเราแสดงปฏิกิริยาในเชิงปฏิเสธว่าเป็นเรื่องต้องห้ามเสียก่อนแล้ว เมื่อถึงวันหนึ่งที่ความต้องการภายในของลูก (ทั้งลูกสาวลูกชาย) เรียกร้องในสิ่งที่พ่อแม่ปฏิเสธ เขาห้ามใจตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ตามมาก็คือ การโกหก ปิดบัง บิดเบือน และซ่อนเร้นข้อเท็จจริงแห่งความรู้สึก และการกระทำของเขากับเรา ลูกจะกล้าเข้ามาพูดกับเราหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับท่าทีที่มาจากทัศนคติของเรานี่ละค่ะ

ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ การคบเพื่อนต่างเพศเป็นเรื่องของทักษะสังคมค่ะ เรื่องนี้คุณหมออัมพร เบญจพลพิทักษ์ แห่งสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น เคยพูดไว้เหมือนกันว่า ถ้าเด็กได้คบได้เรียนรู้นิสัยใจคอเพศตรงข้าม ซึ่งอาจจะเป็นเพียงเพื่อนไม่ถึงขั้นแฟนมากเท่าใด ลูกเราก็จะยิ่งมีทักษะในการปฏิบัติตัว สามารถดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง และเขาก็สามารถสร้างเป้าหมายที่ดีในชีวิตได้ด้วยเช่นกัน

แต่ถ้าเรายังอดห่วงไม่ได้ว่า ลูกจะไปเสียรู้ใครเขาหรือเปล่า ลูกเราจะหมกมุ่นแต่กับเรื่องรักๆ จนเสียการเรียนหรือเปล่า ข้อนี้ก็อยู่ที่พื้นฐานความผูกพันระหว่างเรากับลูก รวมทั้งการถ่ายทอดแง่คิด ข้อควรรู้ต่างๆ จากประสบการณ์ของเราแก่ลูกค่ะ จะว่าไปแล้ว การที่ลูกมีแฟนก็เป็นเหมือนนาฬิกาปลุกบอกให้เรารีบลุกขึ้นมาใส่ใจลูกมากขึ้น แต่ต้องเป็นไปอย่างมีศิลปะด้วยนะคะ

ความรักความห่วงใยในตัวลูกเรามีเป็นทุนอยู่แล้ว แต่สำคัญที่การแสดงออกนี่ละค่ะ อย่างถ้าลูกพาแฟนมาแนะนำตัวกับเรา แล้วเราไปพูดในทำนองตำหนิ จับผิด หรือวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบว่า "โอ้ยตาย นี่แน่ใจนะว่าเลือกแล้ว ผอมอย่างกับคนติดยาแบบนั้น" หรือ "ท่าทางพิกล ดูไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย" เพราะการทำอย่างนั้น เท่ากับเรากำลังตำหนิรสนิยมของลูก และสิ่งที่ตามมาก็คือ เขาจะไม่พูดหรือเปิดใจกับเราอีกเลยค่ะ

ใช้คำพูดที่เป็นกลางและเปิดกว้างจะดีกว่าค่ะ เราอาจเริ่มต้นด้วยการมองหาจุดดีในตัวแฟนลูกก่อน เพื่อให้ลูกรู้สึกว่าเรายอมรับในสัมพันธภาพตรงนั้น แล้วค่อยๆ พูดในข้อสงสัยที่เราสังเกตเห็นตามมา ลูกก็จะรับฟังได้มากกว่าค่ะ เช่น "แฟนหนูก็ดูสุภาพดีนะลูก แต่ดูหลบตาแม่พิกล เอ๊ะ แม่ดูน่ากลัวไปหรือเปล่าจ้ะ" จากนั้นก็เปิดคำถามกว้างๆ ไว้
 
"ถ้ามีอะไรอยากจะปรึกษา แม่ยินดีให้บริการ 24 ชม.นะจ้ะ"

เริ่มต้นด้วยการยอมรับ และพร้อมที่จะให้คำปรึกษาตลอดแบบนี้หมดห่วงเรื่องที่เขาจะปิดบังซ่อนเร้น ความจริงกับเราได้เปราะหนึ่งละค่ะ ลองเปิดโอกาสให้เขาคบกันภายใต้สายตาเราให้มากที่สุด พร้อมกันนั้นถ่ายทอดค่านิยมของเราให้เขารับรู้ ถ่ายทอดเรื่องของการคบกันเฉยๆ เรื่องของการมีสัมพันธ์ทางเพศ ที่ถ้ามีแล้วจะเกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในวันข้างหน้าของลูกบ้าง หมั่นพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการคบเพื่อนต่างเพศกับลูก เสมอๆ การบอกให้ลูกรู้เท่าทันเหตุการณ์ต่างๆ และดูแลตัวเองได้ค่ะ

"แม่เชื่อว่าลูกของแม่รับผิดชอบตัวเองได้ แต่บางครั้งแม่ก็ไม่ไว้ใจคนอื่น สังคมข้างนอกยังมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงอีกมาก และถ้าเราระวังตัวเองไว้อยู่เสมอก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือจ้ะ"

"แม่ไม่ว่าอะไรที่ลูกจะมีเพื่อนสนิท และแม่ก็เชื่อใจลูกของแม่เสมอ ว่าจะไม่ทำอะไรให้เสื่อมเสียเกียรติในตัวลูก"

ในทางตรงกันข้าม อย่าทำท่าทีว่า ฉันรู้นะ ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะนั่นเท่ากับเราไปตัดสินลูกจากการคาดคะเนของเรา ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือลูกเสียความรู้สึกกับสิ่งที่เราพูด และอาจพาลประชดได้ ประมาณว่า "กลัวนักใช่มั้ย เดี๋ยวก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ซะเลย"

ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าลูกจะรู้สึกพึงใจในเพศตรงข้าม เพราะมันเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ หากสำคัญที่ว่า เขาจะใช้สัมพันธภาพนั้นไปในทางที่สร้างสรรค์หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะให้ข้อมูล ถ่ายทอดทัศนคติ และค่านิยมที่ถูกต้องแก่ลูกค่ะ

http://www.108health.com





 

No comments:

Post a Comment