วัยรุ่นอาจเป็นช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากสับสนทั้งต่อพ่อแม่และต่อวัยรุ่นเอง
บางคนมองว่าเป็นช่วงเวลาที่จะได้ทดสอบสมรรถภาพ ในการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ ว่าจะสามารถไว้วางใจลูกที่พยายามทำตัวห่างพ่อแม่ไปได้หรือไม่
ว่าจะซึมซับคำสอนคำสั่งได้เพียงใด ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความกังวลห่วงใย
เพราะความประมาทเพียงชั่ววูบหรือความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจทำลายอนาคตและชีวิตของวัยรุ่นได้ตลอดไป
พ่อแม่ที่ป่วยเป็นโรคจิต
โรคประสาท มีปมขัดแย้งในจิตใจ (Neurotic Conflicts) มีบุคลิกภาพ
บกพร่องขาดความรับผิดชอบ เช่น ติดสุราขนาดหนัก เป็นต้น
จะมีอิทธิพลในด้านลบหรือด้านร้ายอย่างยิ่งต่อลูกวัยรุ่น
พ่อแม่บางคนไม่ยอมเข้าใจ
“ธรรมชาติหรือความต้องการ” ของลูก พยายามปลุกปั้น ผลักดันให้ลูกเป็นไปตามความต้องการหรือความทะเยอทะยานของตน
แต่เกินความสามารถหรือศักยภาพของลูก โดยไม่ใส่ใจกับความต้องการของเขา
ไม่เข้าใจว่าช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงระยะที่เด็กมีความคิดจินตนาการ และมีความใฝ่หาอิสระเสรีภาพเพิ่มมากต่างจากวัยเด็ก
ทำให้เขาทนไม่ได้กับการถูกจำกัดขอบเขต ความคับแค้นใจจึงปรากฏออกมาในรูปอารมณ์
พฤติกรรมหรือการปรับตัวที่ผิดปกติ ข้อแตกต่างในความคิดหรือช่องว่างระหว่างวัย
จึงเกิดขึ้นได้บ่อยที่สุดระหว่างพ่อแม่และลูกวัยรุ่น
ช่องว่างระหว่างวัย
ความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้น อาจทำให้ผู้ปกครองใช้วิธีการที่ผิดๆกับวัยรุ่นได้ เช่น ผู้ปกครองท่านหนึ่งเข้มงวดกับหลานชายวัยรุ่นมากขนาดปิดประตูบ้านแน่นหนาไม่
ยอมให้เข้าบ้านหากเลยเวลาหกโมงเย็น การกระทำแบบนี้เป็นการผลักไสหรือเป็นข้ออ้างให้วัยรุ่นไปหัวหกก้นขวิดนอก
บ้านกับเพื่อนๆ ร่วมวงดื่มสุราในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน ซึ่งที่จริงน่าจะใช้วิธีคุยกันดีๆ
รับฟังเหตุผลกันมากกว่า ตรงกันข้ามหากผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกวัยรุ่น จะเข้าใจลูกและมั่นใจว่าเขาจะประพฤติตัวดี
เมื่อคิดเช่นนี้ก็จะไว้วางใจให้อิสระแก่ลูกได้มาก ดังเช่น
วัยรุ่นหญิงคนหนึ่งเลิกเรียนตอนเย็นแต่กลับบ้าน 2-3 ทุ่มเป็นประจำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดแต่ทางบ้านไม่รู้สึกกังวล
เท่าใดนัก เพราะมีความมั่นใจในตัวลูกสาว
นอกจากนั้น
บางครั้งความห่วงใย ความกังวลที่พ่อแม่แสดงออกจนมากเกินไป มีต้นตอมากจากความระแวงว่าลูกจะทำความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นกับตนเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่นเช่นกัน แม่คนหนึ่งเคยตั้งครรภ์ขณะเป็นนักเรียน ทำให้ต้องออกจากการเรียนกลางคัน
มีความกังวลห่วงใยลูกสาววัยรุ่นอย่างมากว่าจะทำผิดพลาดเช่นเดียวกับตน จึงพยายามควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดและระแวงไปล่วงหน้า
แม้เพียงเห็นลูกสาวมีอาการไม่สบายคลื่นไส้ อาเจียน เกรงว่าลูกสาวซึ่งเป็นวัยรุ่นที่วางตัวดีมีความรับผิดชอบจะตั้งครรภ์
แล้วไปพยายามคาดคั้นกับลูกสาวว่าท้อง ทำให้ลูกสาวกลัดกลุ้มใจมากเพราะรู้สึกว่าแม่คอย “จับผิด”
อยู่ตลอด ในกรณีเช่นนี้วัยรุ่นบางคนถึงกับทำตัวประชดให้เป็นไปตามความคิดหรือคำพูดของ
แม่ที่ว่า “แกมันใจแตก เดี๋ยวก็คงได้ลูกไม่มีพ่อ” เสียเลย
บทสรุป
ดังนั้น วิธีที่สำคัญที่สุดที่จะชนะใจลูกวัยรุ่นได้ คือการ “รับฟัง” เหตุผล ความรู้สึกและความต้องการของเขา ให้โอกาสเขาพูดระบายให้มากที่สุด มิใช่เป็นแค่ฝ่ายพูดบังคับให้เขาฟังท่าเดียว วัยรุ่นจะยอมรับไม่ได้เช่นกัน พ่อแม่ควรพูดระบายความรู้สึกของตนเอง ให้เป็นแบบอย่างของการดับความโกรธความคับแค้นใจที่เหมาะสม เช่น “แม่ไม่สบายใจนะที่เห็นลูกหงุดหงิด แม่เป็นห่วง บอกแม่ได้ไหม” “แม่โกรธนะที่ลูก (ทำสิ่งที่ผิด) แม่ขอร้อง…”
ปัญหาใดๆ ก็ตามระหว่างพ่อแม่และวัยรุ่นจะสามารถแก้ไขได้โดยการพูดคุยกัน
รับฟังกันเพื่อปรับความเข้าใจกัน และประนีประนอมกันดังคำฝรั่งที่ว่า “Hearing Is
Healing” (ยกเว้นในรายที่เป็นโรคจิตมีพฤติกรรมแยกตัว
และก้าวร้าวทำร้ายสมาชิกครอบครัว พูดอย่างไรจะไม่ได้ผล ต้องรักษาด้วยยาหรือไฟฟ้า
ควรส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล) จะได้ไม่ถูกลูกวัยรุ่นต่อว่า
ดังที่ผู้เขียนเคยได้ยินวัยรุ่นอเมริกันพูดใส่หน้าพ่อแม่ว่า “I didn’t ask
to be born” (หนูไม่ได้ขอมาเกิดซะหน่อย) แสบเข้าไส้เลยนะคะ
ที่มา
: รศ.พญ. ดวงใจ กสานติกุล / http://www.formumandme.com
No comments:
Post a Comment