ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ลูกอาจวุ่นวายสับสนและชอบปลีกตัว พ่อแม่ต้องคงความสัมพันธ์กับ ลูกไว้อย่างเหนียวแน่น .......
เสียงกระแทกแปลกหูทำให้นิชา
การ์เดียร์สะดุ้งตื่นในคืนหนึ่งเมื่อปีก่อน เธอเดินไปดูเออร์ฟาน ลูกชายวัย 12 ที่ห้อง
เมื่อไม่เห็นลูกในห้อง เธอก็มองไปนอกหน้าต่างและตกใจมากที่เห็นเขาขึ้นไปนั่งอย่างหมิ่นเหม่อยู่บน
ขอบชายคาของหลังคาบ้านสามชั้นในสิงคโปร์
แม้เขาจะไม่ขัดขืนเมื่อเธอ
เรียกให้กลับเข้ามา แต่นิชารู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อสำรวจขอบหน้าต่างห้องลูก
เธอก็พบกระดาษห่อขนม ขวดโค้กเปล่า และเศษคุกกี้ ซึ่งแสดงว่าตรงนั้นเป็นที่สิงสู่ประจำของลูกมานานพอดู
ช่วงไม่กี่ เดือนที่ผ่านมา
เออร์ฟานชอบเก็บตัวเงียบ เกรดเขาดิ่งลงทั้งที่เรียนพิเศษมากมาย "ดิฉันไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหน แต่ลูกกลายเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิงสำหรับดิฉันไปเสียแล้ว"
นิชากล่าว
มีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับนิชาคือรู้สึกสิ้นหวังเมื่อลูก
ไม่ยอมเชื่อฟัง ท่าทีที่ก้าวร้าวสลับกับอาการบึ้งตึงไม่ปริปากของลูกวัยรุ่นทำให้พ่อแม่ต้อง
อึดอัดกลัดกลุ้มเมื่อพยายามที่จะสื่อสารด้วย แม้แต่วัยรุ่นที่นับว่าเป็น "เด็กดี" ก็ยังปลีกตัวออกห่างจากพ่อแม่ไปสร้างชีวิตอิสระของตนขึ้นใหม่กับเพื่อนๆซึ่ง
เป็นคนพวกเดียวที่สำคัญในความคิดของเขา เมื่อต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงแบบนี้ พ่อแม่จึงล่าถอยและเลิกพยายามที่จะใกล้ชิดกับลูก
"การทำเช่นนี้อาจมี
ผลเสียหาย" ดายาล มิรจันทนี นักจิตเวชจากอินเดีย กล่าว "เมื่อพ่อแม่ล่าถอยออกมาก่อนเวลาอันควร ลูกก็จะถอยห่างไปไกลขึ้นอีก และเกลียวสัมพันธ์
ระหว่างพ่อแม่กับลูกก็จะยิ่งคลายลง"
ทว่าการที่ เด็กวัยรุ่นจะปลีกตัวออกจากครอบครัวนั้นไม่ใช่เรื่องปกติและมีผลดีแก่ตัว
เด็กหรอกหรือ เห็นได้ชัดว่าไม่ มีงานวิจัยใหม่ๆที่เสนอแนะว่าเด็กวัยรุ่นต้องการพ่อแม่มากพอๆกับเด็กที่อ่อน
วัยกว่า โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในวัยที่หมิ่นเหม่ระหว่างอายุ 13 ถึง
16 ปี หน่วยวิจัยแห่งชาติซึ่งติดตามศึกษาสุขภาพวัยรุ่นเฝ้าศึกษาเด็กอเมริกันวัย
รุ่นจำนวนหลายพันคนมาตั้งแต่ปี 2537 ให้ข้อสรุปว่า
"สายสัมพันธ์" กับคนในครอบครัวจะปกป้องเด็กวัยรุ่นให้พ้นจากพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูง
เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและการใช้ยาเสพติด
แล้ว "สายสัมพันธ์" หมายความว่าอะไรกันแน่ สายสัมพันธ์นี้มิได้หมายความแค่รู้ว่าตนเป็นที่รักเท่านั้น
แต่ยังหมายถึงการมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆในช่วงที่เป็นเด็ก ทั้งก่อนไปโรงเรียนและหลังเลิกเรียน
เวลากินอาหารและก่อนเข้านอน นอกจากนี้ยังมีรายงานที่บันทึกถึงคุณประโยชน์อื่นๆของความสัมพันธ์อันแน่น
แฟ้นระหว่างพ่อแม่กับลูกวัยรุ่นไว้อีกหลายประการ เช่น ความกังวลเรื่องน้ำหนักตัวจะน้อยลง
ความผิดปกติเรื่องการกินอาหารลดลง การเลื่อนไปเรียนชั้นมัธยมปลายราบรื่นขึ้น และการกระทบกระทั่งในการคบหาเพื่อนๆวัยรุ่นด้วยกันลดลง
ขณะเดียวกัน เด็กวัยรุ่นที่รู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพ่อแม่จะมีความ
เสี่ยงสูงขึ้นที่จะใช้ยาเสพติด มีพฤติกรรมก้าวร้าว ฝ่าฝืนกฎหมาย และอาจถึงกับฆ่าตัวตาย
"ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และเด็กวัยรุ่นมี
ปัจจัยที่เป็นตัวผลักดัน" แครอล บัลเฮตเชต ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเยาวชนที่สมาคมเด็กสิงคโปร์
กล่าว "เด็กวัยรุ่นที่เติบโตมาพร้อมกับปัญหาครอบครัวมีแนวโน้มจะผลักไสผู้ปกครอง
ออกไปจากชีวิต และ โอนอ่อนตามแรงดึงของเพื่อนๆ"
กอร์ดอน นิวเฟลด์
นักจิตวิทยาพัฒนาการในแคนาดา เรียกพฤติกรรมนี้ว่า
"การอิงเพื่อนร่วมรุ่น" เด็กเหล่านี้จะรับแบบอย่างพฤติกรรมมาจากเพื่อนไม่ใช่จากพ่อแม่
"ปัญหา
ก็คือเพื่อนเหล่านี้กลายเป็นเข็มทิศทางศีลธรรมของเด็ก" นิวเฟลด์กล่าว
"เด็กวัยรุ่นที่อิงเพื่อนจะไม่ต้องการดำเนินชีวิตตามครรลองค่านิยมของพ่อแม่
และ ไม่ใส่ใจต่อการไม่ยอมรับของพ่อแม่" นิวเฟลด์ยังกล่าวว่า โดยทั่วไป
"เด็กวัยรุ่นจะ สร้างความลำบากใจให้แก่พ่อแม่มากขึ้น สอนยาก
ก้าวร้าว วุฒิภาวะต่ำลงและแข็งกระด้างขึ้น"
เมื่อเป็นเช่นนี้
เราจะต้องทำอย่างไรจึงจะคงความสัมพันธ์กับลูกวัยรุ่นผู้อยากแต่จะอยู่ให้ ห่างๆจากพ่อแม่
ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์ที่พ่อแม่และผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงลูกพบว่าสามารถดึงพ่อแม่และลูกวัยรุ่นให้เข้ามาใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
ปรับความสัมพันธ์
เสียก่อน ชาน คัม เวง พ่อลูกห้าในยะโฮร์บาห์รู โกรธมากเมื่อได้รับใบแจ้งหนี้ค่าโทรศัพท์ที่บ้านซึ่งสูงถึงเกือบ
5,000 บาท แล้วพบว่าลูกชายวัย 17 แอบโทรฯ คุยกับแฟนสาวตอนเที่ยงคืนเป็นเวลานานๆ
"ผมต้องทำงานหนักและเดินทางไปต่างประเทศบ่อยเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ผมรู้สึกเบื่อหน่ายที่คิดว่าลูกไม่มองถึงความเสียสละของผมบ้างเลย"
ชานกล่าว
ชาน กลัวว่าการขาดความเอาใจใส่อาจทำให้ลูกไปคบเพื่อนผิดๆ
เขาจึงขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆซึ่งแนะให้เขาเปิดอกพูดกับลูกชาย ชานแจกแจงบัญชีค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนโดยค่าโทรศัพท์เป็นยอดรายจ่ายที่สูง
แล้วติดไว้ที่ตู้เย็น "ลูกไม่ตระหนักว่าค่าโทรฯจะมากถึงเพียงนี้ เมื่อผมนั่งลงคำนวณรายรับรายจ่ายกับลูก
เขาก็ลดการใช้โทรศัพท์ลง" ชานกล่าว
"เด็กๆ
ที่มีโอกาสดีกว่าจะมองความจำเป็นพื้นฐานแตกต่างออกไปและไม่เข้าใจเรื่อง ความยากลำบากของพ่อแม่"
บัลเฮตเชตกล่าว "ในยุคที่คนรีบรุดเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้น
พ่อแม่ส่วนมากมักลืมไปว่าลูกต้องการคำชี้แนะและเวลาจากตน"
รู้จักประนีประนอม
เมื่อลูกวัยรุ่นเอารถพ่อแม่ไปขับโดยไม่ได้รับอนุญาต พ่อแม่มักคิดกลัวไปถึงสิ่งเลวร้ายที่สุด
นั่นคือวันนี้ขับรถ พรุ่งนี้แข่งรถอย่างผิดกฎหมาย และวันต่อไปก็ขับรถขณะมึนเมา
"พ่อแม่ต้องระลึกว่าประเด็นตอนนี้คือเรื่องขับรถ ไม่ใช่ตัวรถ" ดร. เตียว เซียนจิน นักจิตวิทยาของคลินิกที่ให้คำปรึกษาและผู้อำนวยการวิทยาลัยสุขภาพและวิทยา
ศาสตร์ธรรมชาติของมหาวิทยาลัยซันเวย์ในมาเลเซีย กล่าว หนังสือเล่มหนึ่งในจำนวน 28
เล่มที่เขาผู้นี้เขียนคือ วิธีพูดกับเด็กวัยรุ่น
มีผู้มาขอคำปรึกษาร้องทุกข์ว่า ลูกวัย 17 ไม่ยอมพูดกับเธออีกเพราะเธอไม่ให้เขาใช้รถ
"การบอกว่า "ไม่ได้" มีแต่จะทำให้เขายิ่งอยากขับรถมากขึ้น ดังนั้นให้เขาเรียนขับรถกับครูสอนขับเสียเลยจะดีกว่า
เขาจะได้รู้กฎเกณฑ์เรื่องความปลอดภัย" ดร.เตียวกล่าว การ ประนีประนอมจะช่วยให้เรารู้ปัญหาที่แท้จริง
และสามารถจัดการกับปัญหานั้นโดยไม่ไปพัวพันกับปัญหาด้านอารมณ์อื่นๆ
เลือก สถานที่เอง
เด็กวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยต่อต้านการนั่งลงคุยอย่างเปิดอกกับพ่อแม่ที่นัก จิตวิทยาบางคนประโคมกันว่าเป็นวิธีดีที่สุด
แต่มักอยากคุยกับพ่อแม่และฟังขณะพ่อแม่กำลังทำอย่างอื่นอยู่ เช่น ชอปปิ้งหรือขับรถ
ในสภาพการณ์เช่นนั้น การเปิดเผยความในใจจะดูไม่เครียดและเหมือนพูดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
ซึ่งเป็นการช่วยรักษาหน้าของลูก
อย่างไรก็ตาม
ความจริงนั้นใช่ว่าจะมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งเสมอไป เมื่อพ่อแม่ถามลูกชายว่าอยากให้ไปดูเขาเล่นฟุตบอลไหม
และลูกตอบว่า
"คงอยากมั้งครับ ถ้าพ่อแม่อยากไป" ให้คิดว่า ที่จริงแล้ว
เขาอยากให้เราไป
รักษาธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัวไว้
ธรรมเนียมของครอบครัวที่ทำกันเป็นประจำ เป็นต้นว่า การกินอาหารมื้อเย็นพร้อมหน้าไม่จำเป็นต้องล้มเลิกไปเมื่อลูกอายุ
13 ปี ดร. ซี. เจ. จอห์น ผู้อำนวยการแผนกสุขภาพจิตที่โรงพยาบาลเมดิคัลทรัสต์ในเมืองโคจิ
ประเทศอินเดีย กล่าว "ธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัวช่วยสร้างความผูกพันและให้ความรู้สึกว่ามั่นคง
ปลอดภัย" ดร. จอห์นกล่าว
"พวกเด็กวัยรุ่นจะไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ตรงๆหรอก แต่ธรรมเนียมเช่นนี้จะบอกเด็กๆว่า
เรายังห่วงใยใส่ใจในความผาสุกของพวกเขา" เมื่อรีดเดอร์ส
ไดเจสท์สำรวจความคิดเห็นของเด็กวัยรุ่นกว่า 3,000 คนในเดือนกรกฎาคม
2548 เด็กจำนวนมากบอกว่าต้องการกินอาหารมื้อเย็นกับพ่อแม่
ข้อ เตือนใจก็คือ "เวลาที่อยู่กับครอบครัวจะน่าพอใจยิ่งขึ้นหากเป็นที่เข้าใจร่วมกัน ว่าต้องไม่มีการทุ่มเถียงกัน"
นักจิตเวชดายาลกล่าว นั่นหมายความว่าพ่อแม่ต้องไม่พูดถึงผลการเรียนที่คะแนนต่ำของลูกที่โต๊ะอาหาร
เอาใจลูกมาใส่ใจเรา
พ่อแม่มักหยิบยกชีวิตวัยรุ่นของตนมาเปรียบเทียบกับลูก โดยลืมไปว่าเด็กในศตวรรษที่ 21 มีความเครียดสูงกว่าที่ตนเคยมี
จากความกดดันทางสังคมอย่างหนักการหมกมุ่นอยู่กับผลการสอบของเด็กวัยรุ่นทั่ว
ทั้งเอเชียนั้นหมายความว่า เมื่อเลิกเรียน เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่จะไปเรียนพิเศษกับครูคนแล้วคนเล่า
ทำให้เวลาที่จะคบหาเพื่อนๆและพักผ่อนเหลือน้อย "พ่อแม่ยังตั้งความคาดหวังกับลูกไว้สูงมากเหลือเกิน"
นักจิตวิทยาบัลเฮตเชตกล่าว "ปล่อยให้ลูกมีเวลาหายใจบ้าง บางทีนั่นอาจเป็นทางเดียวที่จะทำให้ลูกเริ่มพูดกับเราอีกก็ได้"
หาจุด ร่วมให้พบ
เมื่อมีผู้ถามนาชา อับดุลลาห์ ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวจาก กัวลาลัมเปอร์ว่า
เธอทำอย่างไรจึงรักษาความสัมพันธ์กับลูกวัยรุ่นอายุ 11 และ
14 ปีเอาไว้ได้ เธอตอบว่า
"เราไม่เคยขาดความสัมพันธ์ต่อกัน ดิฉันจะพยายามผูกพันกับลูกๆเอาไว้เสมอด้วยสิ่งที่เราสนใจร่วมกัน"
เธอใช้ดนตรีเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกๆ "ดิฉันพาลูกไปดูคอนเสิร์ตของวงเรด
ฮ็อต ชิลลี เปปเปอร์ส เมื่อตอนที่เราไปเที่ยวพักผ่อนที่สวีเดน เพราะลูกยังไม่โตพอที่จะไปกันเอง
และลูกก็รู้สึกว่าการที่มีดิฉันไปด้วยนั้นวิเศษมาก"
ใช้เวลาอยู่กับ
ลูกวัยรุ่นตามลำพัง เมื่อนิวเฟลด์เป็นทุกข์ที่ลูกสาววัย 13 ของเขาแยกตัวออกห่างจากครอบครัวและเอาแต่เลียนแบบภาษาท่าทางของเพื่อนๆ
เขาก็กำหนดว่าจะพาลูกไปพักผ่อนหนึ่งสัปดาห์โดยไปกันเพียงสองคนและไปอยู่ที่ กระท่อมชนบท
และก็อย่างที่คาดไว้ นาตาชาไม่พอใจแผนการนี้ "แต่แล้วอาการแข็งขืนของลูกก็เริ่มคลายลง
เราค่อยๆรื้อฟื้นความสนิทสนมที่เคยมีต่อกันเมื่อครั้งที่ลูกยังเล็กกว่านี้" นิวเฟลด์กล่าว
"เมื่อสัปดาห์นั้นสิ้นสุดลง เราพ่อลูกเห็นพ้องกันว่าการไปพักผ่อนครั้งนั้นยอดเยี่ยมมาก"
นิวเฟลด์กล่าว
ฟังให้มากขึ้น
ว่ากล่าวให้น้อยลง ศาสตราจารย์ นายแพทย์พิภพ จิรภิญโญ แห่งภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เขียนแนะนำการดูแลลูกช่วงวัยรุ่นไว้ในหนังสือ
เลี้ยงลูกให้เก่งและดี ว่าพ่อแม่ควรเปลี่ยนบทบาทใหม่คือเป็นเพื่อนที่รู้ใจ บทบาทที่เคยแสดงเป็นผู้ปกครองและเป็นพ่อแม่คอยชี้แนะนั้นควรลดลงให้มากใน
ระยะนี้ การชี้แนะและสั่งสอนใดๆแก่ลูกควรทำอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เล็กจนถึงช่วงก่อน วัยรุ่น
และการสอนมาอย่างต่อเนื่องนั้นเพียงพอแล้ว เมื่อลูกเป็นวัยรุ่น พ่อแม่ควรทำตัวเหมือนเพื่อนของเขา
เด็กวัยรุ่นจะไว้ใจเพื่อนสนิทเพราะมักมีความคิดที่คล้ายกันอีกทั้งรับฟังและเห็นอกเห็นใจเขา
คำว่ากล่าวจะยิ่งทำให้วัยรุ่นแยกตัวจากพ่อแม่มากกว่า
จะเข้ามาพูดคุยด้วย และแทนที่จะเป็นฝ่ายพูดเองทั้งหมด พ่อแม่ควรหาวิธีทำให้ลูกเป็นฝ่ายคิด
ตัวอย่างเช่น หากลูกชายนำสมุดรายงานผลการเรียนที่ไม่ดีกลับมาบ้าน ให้ถามว่าลูกคิดจะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์นั้น
พูดเพียงสั้นๆและแสดงให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่เชื่อมั่นในความสามารถของเขา
ปรากฏ ว่าต้องใช้การพูดกันอย่างเปิดอกเต็มที่จึงทำให้นิชากับลูกชายเลิกปะทะกัน "ดิฉันบอกลูกว่าเป็นห่วงเรื่องเกรดของเขา และถามว่ามีอะไรที่กวนใจเขาหรือเปล่า
ลูกสารภาพว่าเกลียดโรงเรียนเพราะว่ามีนักเรียนปีสุดท้ายคนหนึ่งที่คอยขู่ เข็ญเอาเงินจากเขา
นิชานำเรื่องนี้ไปรายงานผู้อำนวยการโรงเรียน
ซึ่งมีผลทำให้คณะครูผู้ปกครองของโรงเรียนเรียกเด็กที่โตกว่าผู้นั้นมาตัก เตือนคาดโทษ
"เดี๋ยวนี้ ดิฉันกับลูกสนิทกันมากขึ้น" นิชากล่าว "เขาเห็นแล้วว่าดิฉันเป็นห่วงเขาจริงๆและพร้อมจะรับฟังปัญหาของเขาเสมอ"
www.readerdigestthailand.co.th
No comments:
Post a Comment