Sunday, July 28, 2013

สร้างพลังใจยามท้อแท้



คนเราทุกวันนี้มีปัญหามากมายรุมเร้าชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องงาน ครอบครัว หรือสภาพสังคม บางปัญหาทำให้เราทุกข์ใจ กลุ้มใจ เครียด วิตกกังวล บางปัญหาทำให้เราท้อแท้ เศร้า เสียใจ หดหู่ สิ้นหวัง หมดหวัง อยากทำร้ายตัวเอง หรืออยากฆ่าตัวตาย ยิ่งมาโดนภาวะวิกฤตเศรษฐกิจซ้ำเข้าไปอีก ตกงาน รายได้ลดลง รายจ่ายเพิ่มขึ้น สินค้าของกินของใช้แพงขึ้น หนี้สินผ่อนไม่ได้ จะถูกยึดหรือถูกยึดไปแล้ว ฯลฯ
อย่างนี้มันก็ต้องท้อกันบ้างล่ะ..ไม่ใช่เทวดานี่ครับ
บทพิสูจน์ความท้อ

ที่น่าแปลกก็ คือ บางคนท้อแล้วไม่รู้สึกตัวว่ากำลังท้อแท้อยู่หรือเปล่า รู้แต่ว่ามันหงุดหงิดไม่มีความสุข ถ้าคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายกำลังข้องใจตัวเองอยู่ ลองดูครับว่าเรามีอาการต่อไปนี้บ้างหรือเปล่า
....อยู่ไม่เป็นสุข รู้สึกไม่สบายใจ ขี้หงุดหงิด
....ชอบตำหนิลงโทษตัวเอง
....เวลาดูตลกคาเฟ่เคยขำกลิ้ง ตอนนี้ชักตลกไม่ออก
....ชอบตำหนิลงโทษตัวเอง
....รู้สึกอันตัวเรานี้ช่างไร้ค่า ไร้ความหมาย
....กินไม่ได้ นอนไม่หลับหรือไม่อีกทีก็กินแหลก หลับอุตุทั้งวัน
....ไม่มีสมาธิ อ่านหนังสือแค่หน้าเดียวก็ทำไม่ด้าย
....กะอีแค่จะไปซื้อทิชชูม้วนเดียว ตัดสินใจไม่ได้ คิดแล้วคิดอีก คิดเป็นวัน
....ไม่มีเรี่ยวมีแรง แค่ลุกไปแปรงฟันก็หมดพลังแล้ว
....ไม่กินข้าว ไม่อาบน้ำ น้ำหนักลด
....คิดอยากฆ่าตัวตาย (ไอ๊หยา!)
ถ้าลองกากบาทดูแล้ว ได้แค่ 3 คะแนนก็พอไปไหว แต่ถ้าเกินห้าขึ้นไป และส่งผลถึงกับทำให้เราใช้ชีวิตส่วนตัว กิจวัตรประจำวันขาดตกบกพร่อง มานั่งลงตรงนี้ จับเข่าคุยกันหน่อย เราต้องช่วยกันแล้วล่ะว่าจะฝ่าความท้อไปได้อย่างไร
ตัวเองสำคัญที่สุด
สาเหตุของอาการท้อแท้นั้นจะมาจากสาเหตุภายในและภายนอก ซึ่งบางสาเหตุเราก็แก้ได้ บางสาเหตุก็แก้ไม่ได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับบุคคลหรือสถานการณ์อื่นๆ ด้วย แต่เหตุที่เราแก้ได้แน่ๆ ได้แก่ สิ่งที่ต้องการการลงมือแก้ปัญหาด้วยตัวเราเอง และอาจต้องการการแก้ปัญหาด้วยวิธีใหม่ การปรับเปลี่ยนความคาดหวัง หรือนิสัยตัวเราเอง การสร้างพลังใจด้วยตัวของเราเอง การทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อดึงตัวเองออกจากบรรยากาศแห่งความท้อแท้ เป็นต้น
เราจะต้องรู้ว่าในที่สุดแล้ว เราคือเจ้าของปัญหา เราจะต้องลุกขึ้นยืนบนขาของเราเอง คนอื่นอาจจะช่วยประคองหรือช่วยชี้ทางได้ แต่เราต้องเดินเอง เพราะหากเราไม่รู้ว่าเราต้องยืนบนขาตัวเอง ก้าวเท้าออกด้วยตัวเอง เราจะไม่ลุก ไม่สร้างพลังเสียที นั่นแหละครับ แม้จะมีเชือกห้อยลงมาให้เราในหุบเหวแห่งความท้อแท้ เราก็จะไม่ไปจับเชือกและปีนขึ้นไป ยังคงนอนจมอยู่กับอารมณ์เศร้าที่ก้นเหวนั่นเอง
สู่ยอดเขาแห่งความเข้มแข็งด้วยตัวเอง

* มองอุปสรรคขวากหนามต่างๆ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตัวเราตลอดเวลา รู้สึกเป็นธรรมดาที่เจออุปสรรค รู้สึกสนุกที่เจอเหตุการณ์ยากในชีวิต เพราะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นทุกที เรียนรู้ให้ฉลาดขึ้นทุกๆ ครั้ง บางครั้งเราอาจล้มบ้าง แต่ไม่อาจทำให้เราหยุดลงได้ เพราะเรายังมีเป้าหมายใหญ่คือ การขึ้นไปสู่จุดที่เรารู้สึกว่าเราได้ชัยชนะ นั่นคือชนะความอ่อนแอในตัวเรา เป็นชัยชนะที่เราภาคภูมิใจได้อย่างเต็มเปี่ยม
* ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะจะทำให้ท้อแท้ได้ง่ายๆ เมื่อพบว่าตัวเราไม่ดีเท่าเขา แต่หากมองการชนะตัวเราเองเป็นความสำเร็จ นั่นแหละคือความสำเร็จที่แท้จริง
* ไม่มองคนอื่นเป็นศัตรู เพราะเราจะเสียเวลามาคอยต่อกรกับคนที่คิดว่าเป็นศัตรูโดยไม่จำเป็น ในที่สุดก็บาดเจ็บทั้งคู่ ไปไม่ถึงจุดหมายทั้งสองฝ่าย เราควรจะแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม พยายามหลีกเลี่ยงดีกว่าการไปต่อสู้ให้เจ็บเนื้อเจ็บตัวและเสียเวลา
* จะต้องเกิดกำลังใจ พลังใจ ความสุข ความอิ่มใจ ความพอใจในทุกก้าวย่างที่เดินไป เพราะหากไปรอกำลังใจเกิดขึ้นเมื่อเราถึงจุดหมายแล้วเท่านั้น เราจะรู้สึกว่าไกลเหลือเกิน จะท้อแท้ขึ้นมาอีกได้
* ต้องตระหนักว่า ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ก้าวสุดท้ายที่ขึ้นถึงยอดเขา เพราะก้าวสุดท้ายจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีก้าวแรกๆ และความคล่องแคล่ว ว่องไว ความแข็งแกร่งของก้าวหลังๆ ก็มาจากประสบการณ์ความล้มเหลว และการต่อสู้ของก้าวแรกๆ การหกล้มก็ทำให้เรียนรู้ว่าจะลุกอย่างไร เพื่อไม่ให้ล้มอีก หากได้สร้างพลังใจสะสมได้ในทุกๆ ก้าวเราย่อมจะพ้นจากหุบเหวแห่งความท้อแท้แน่นอน
สร้างพลังใจยามท้อแท้
* พยายามมองให้เห็นภาพที่ตัวเองลุกขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง
* ทำร่างกายให้แข็งแรง กระฉับกระเฉง เพราะยามท้อแท้เรามักจะหมดแรง ทำอะไรช้าไปหมด ยิ่งช้าก็ยิ่งไม่อยากทำ บางครั้งการหลอกตัวเองเป็นกระฉับกระเฉง ช่วยทำให้จิตใจสดชื่นขึ้นได้ รวมถึงการออกกำลังกาย การทำกายบริหาร ยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อที่เครียด หรือการบีบนวดตนเอง (ไม่ใช่ไปบริการหมอนวดนะครับ เพราะเสียเงินทองแล้วจะเครียดกันใหญ่)
* พยายามมองสิ่งต่างๆ ให้เห็นทั้งแง่ลบและบวก เพราะหากเห็นแต่แง่ลบของคนอื่นจะทำให้รู้สึกหงุดหงิด เห็นแง่ลบของตนเองจะทำให้รู้สึกท้อแท้ จึงควรมองแต่แง่บวก แม้ผู้อื่นและตัวเราเองจะมีสิ่งบกพร่อง แต่ก็มีสิ่งดีๆ อยู่ ไม่น้อยเช่นกัน
* มีอารมณ์ขัน โดยคิดอะไรในแง่ตลกเสียบ้าง
* พยายามฝึกปัญญาของเราให้มาก เรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่าหยุดเรียนรู้ อย่าคิดว่าตนเองเก่งแล้ว ถูกทุกอย่าง เพราะถ้าคิดเช่นนั้นเราจะหยุดพัฒนาตนเอง มองทุกอย่างให้เห็นความเป็นจริง มองให้เห็นเหตุปัจจัย เงื่อนไขของเรื่องราวทุกอย่าง เมื่อเราเข้าใจก็จะแก้ไขได้ถูกต้อง
อยากจะฝากส่งท้ายไว้ว่า เราจะมองเห็นแสงสว่างได้นั้นต้องออกแรงยกเปลือกตาของเราเองนะครับ

โดย น.พ.บัณฑิต ศรไพศาล
แหล่งที่มา  http://www.momypedia.com
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/floristrykiev/flowers-in-box/


No comments:

Post a Comment