สาวๆหลายคนคงไม่อยากอ้วนหรอก
แต่ทำไมเรื่องการกินถึงห้ามกันไม่ได้ซะที ทั้งๆ ที่ออกกำลังกายหรือกินอาหารเพื่อสุขภาพ
แต่ว่าพฤติกรรมบางอย่างของคุณผู้หญิงก็เป็นเหตุให้คุณเป็นคนกินจุได้อย่าง ไม่น่าเชื่อ
ซึ่งมี 9
เหตุผลที่เพจ Be Healthy บอกไว้
1. นอนน้อย
แน่นอนว่า
การทำงานหนักหรือเที่ยวกลางคืนของเหล่าสาวๆทั้งหลาย จะกลายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการหิวได้
แถมยังกินจุอีกต่างหาก โดยเหตุผลทางการแพทย์ก็อธิบายว่า ทุกครั้งที่เราไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สามารถกระตุ้นความหิวของเราให้เพิ่มขึ้น
อีกทั้งการที่ร่างกายรู้สึกอยากกินของหวาน ๆ หรืออาหารประเภทแป้งก็เพราะว่าร่างกายที่อ่อนเพลีย
ต้องการพลังงานจากอาหารประเภทนี้ไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น
ดังนั้นคนที่นอนน้อยเป็นประจำก็เลยมีโอกาสเป็นโรคอ้วนสูงนั่นเอง
2. กินอาหารเยอะจัดมาก่อน
อาหารพวกบุพเฟ่
ต่างๆ หรือ พิซซา แบบเร่งรีบก็เป็นปัญหาหนึ่ง หากวันไหนคุณจัดหนักด้วยเมนูนี้และวันต่อมา
คุณยังรู้สึกหิวบ่อยแบบแปลก ๆ อยู่ดี นั่นก็เป็นเพราะว่า
ระดับน้ำตาลในร่างกายเกิดความปรวนแปรชั่วคราว โดยเฉพาะกับคนที่จัดหนักอาหารประเภทแป้งมาก่อน
ระดับร่างกายจะปรวนแปรหนักจนสมองเข้าใจไปเองว่าท้องคุณไม่อิ่ม ก็เลยเรียกร้องอาหารแบบไม่หยุดหย่อนเลยล่ะจ้า
3. หิวมากก่อนประจำเดือนมา
ผู้หญิงทุกคนรู้ดีว่า
ก่อนจะเป็นวันนั้นของเดือน ร่างกายร่างเราจะส่งสัญญาณมาเตือนด้วยอาการปวดหลัง
เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว หงุดหงิด และที่สำคัญ กินจุมาก ๆ อีกต่างหาก ซึ่งเหตุผลทางการแพทย์ก็อธิบายเอาไว้ว่า
ก่อนที่ประจำเดือนจะมา ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนออกมาเยอะกว่าปกติ และเจ้าฮอร์โมนตัวนี้ก็มาพร้อมกับอาการ
PMS ต่าง ๆ และเมื่ออารมณ์ของเราปรวนแปร ก็เป็นไปได้สูงว่าจะคลายความหงุดหงิดด้วยการหาของอร่อยมากิน
4. เลี่ยงมื้อเช้า
มื้อเช้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เพราะช่วยเติมพลังงานให้เรามีแรงในการทำกิจกรรมต่างๆ มาก และสารอาหารที่ร่างกายควรจะได้รับในมื้อแรกของวัน
ก็ควรจะเน้นเป็นโปรตีนหลัก ๆ ไฟเบอร์ และไขมันได้เล็กน้อย เนื่องจากโปรตีนจะอยู่ท้องเราได้มากกว่า
ช่วยให้เราหิวได้ช้าลง มื้อกลางวันจะได้กินได้น้อยลงด้วย
แต่ถ้าคุณเลี่ยงมื้อเช้าขึ้นมาเมื่อไร หรือกินแค่ผลไม้ นม กาแฟ
หรือน้ำผลไม้แก้วเดียว ร่างกายจะต้องการพลังงานเพิ่มอีก 300-400 กิโลแคลอรี่ ทำให้มื้อกลางวันและเย็นคุณกินหนักกว่ามื้อเช้าซะอีก
5. ผลข้างเคียงจากการกินยาเป็นประจำ
แพทย์ได้บอกว่า
ยาเกือบทุกชนิดตั้งแต่ยารักษาโรคข้ออักเสบ ไปจนถึงยาแก้แพ้ จะมีผลข้างเคียงในเรื่องกระตุ้นความหิวของร่างกายเราเกือบทั้งนั้น
เหตุผลนี้จึงทำให้คุณต้องหาอาหารมาตอบสนองอาการหิวของตัวเองอยู่ตลอด โดยเฉพาะคนที่ต้องกินยาเป็นประจำ
อาการหิวบ่อยก็จะอยู่คู่กับคุณตลอดไป แต่สำหรับคนที่กินยารักษาอาการป่วยแค่ชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อหยุดรับประทานยา พฤติกรรมการรับประทานอาหารก็จะกลับมาเป็นปกติ
เครื่องดื่มไดเอต
หรือเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล แต่ใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาลแทน เมื่อดื่มเข้าไปสารพวกนี้จะเข้าไปสั่งการสมองว่า
แครอรี่อยู่ในการควบคุมของเครื่องดื่มนี้ ทำให้สมองเข้าใจว่าร่างกายได้รับแครอรี่ไม่เพียงพอ
จึงสั่งการให้เราเกิดความหิว เพื่อที่จะได้รับประทานอาหารเพิ่มแคลอรี่เข้าไปนั่นเอง
ฉะนั้นควรเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มปราศจากน้ำตาล
7. กระหายน้ำมากจนคอแห้ง
หลายครั้งร่างกายก็ไม่ได้รู้สึกหิวเท่าไร
แต่รู้สึกคอแห้งจนกระทั่งเกิดความรู้สึกกระหายน้ำมากกว่า เราก็จะคิดไปเองว่าตอนนี้เราหิว
และต้องการหาอะไรกินให้ชุ่มคอ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ชี้แจงว่า อาการกระหายน้ำ
ก็คล้าย ๆ กับการที่ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อร่างกายเกิดความกระหายมาก
ๆ เขาก็จะดึงแคลอรี่ที่เหลืออยู่ในร่างกายมาหล่อเลี้ยงแทน และทันทีที่เราถูกดึงพลังงานไปใช้
ร่างกายก็จะต้องการอาหารเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานให้ร่างกายนำไปใช้ต่อไป
8. รู้สึกเบื่อ
เมื่อเรารู้สึกเบื่อหน่าย
สมองก็จะสั่งการให้ร่างกายหลั่งสารโดพามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นอารมณ์
ความรู้สึก ที่มีส่วนให้ร่างกายเกิดความเคยชินว่า การรับประทานอาหารคือความสุขอย่างหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อเรารู้สึกเบื่อ ๆ เครียด ๆ
เจ้าโดพามีนก็จะทำหน้าที่กระตุ้นความหิวกระหาย ทำให้เราต้องหาของอร่อย ๆ
มากินแก้เบื่อ แต่ถ้าไม่อยากน้ำหนักตัวเพิ่ม ก็หากิจกรรมสร้างสรรค์อย่างอื่น เช่น
ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือที่น่าสนใจทำแทนก็ได้นะ
9. ความเครียด
ความเครียดก็ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกเบื่อ
ที่เมื่อเกิดความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้ขึ้นมาเมื่อไร ร่างกายก็เหมือนจะรู้สึกหิว
หรืออยากกินของอร่อย ๆ และอาหารหวานมากขึ้นเมื่อนั้น
ก็เลยทำให้เราเกิดความรู้สึกหิวโหยอยู่บ่อย ๆ ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ตัวเองเครียดกันดีกว่าเนอะ
ที่สำคัญนอกจากความเครียดจะพาให้หน้าแก่แล้ว ยังทำให้เราเสี่ยงมีหุ่นที่อวบอ้วนอีกต่างหาก
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
No comments:
Post a Comment