หลายคนทราบดีว่า มะเขือเทศ เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์
โดยเฉพาะสารไลโคปีน ที่ทำหน้าที่ปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย และป้องกันโรคร้ายต่าง
ๆ...
"แววตา เอกชาวนา"
นักโภชนาการบำบัดและผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ อธิบายว่า
"ไลโคปีน" (Lycopene) จัดเป็นสารประกอบที่พบมากในผลไม้สีแดง
ได้แก่ มะเขือเทศสุก เกรปฟรุต แตงโม มะละกอ ส้ม ฝรั่งสีชมพู (ยกเว้นสตรอว์เบอร์รีและเชอร์รี) และโดยเฉพาะในฟักข้าวมีไลโคปีนสูงมาก
"คุณสมบัติของไลโคปีนคือจะแตกตัวออกมาจากเนื้อเยื่อได้ดีเมื่อผ่านความร้อน
ดังนั้นไลโคปีนในมะเขือเทศจึงเป็นที่นิยมมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น เพราะสามารถนำไปปรุงอาหารเพื่อรับประทานและทำให้ร่างกายของเราได้รับไลโคปีนอย่างเพียงพอในแต่ละวันได้"
กระแสการดื่มน้ำมะเขือเทศ
ปัจจุบันคนรักสุขภาพจำนวนมากหันมาให้ความสนใจเรื่องการดื่มน้ำมะเขือเทศ
อาจารย์แววตาแนะนำว่าการดื่มน้ำมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น มีให้เลือก 2 แบบ
คือ ดื่มก่อนอาหาร (ท้องว่าง) โดยหยดน้ำมันลงในน้ำมะเขือเทศเพื่อช่วยในการดูดซึมของร่างกาย
และดื่มหลังอาหาร เช่น เรากินก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวผัด ในอาหารเหล่านี้จะมีน้ำมันอยู่แล้ว
ก็สามารถดื่มน้ำมะเขือเทศตามได้ทันที โดยไขมันในอาหารที่กินเข้าไปจะช่วยในการดูดซึมไลโคปีนได้ดีมากขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้น้ำมะเขือเทศยังให้พลังงานต่ำ
น้ำตาลน้อย ดื่มแล้วไม่อ้วน ผู้ป่วยเบาหวานจึงสามารถรับประทานได้
ป่วย "โรคไต" ไม่ควรดื่มน้ำมะเขือเทศ
แต่มีข้อแม้อยู่ว่า ในมะเขือเทศมีสารโพแทสเซียมสูงมาก สำหรับคนที่เป็นโรคไตและผู้ที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงก็ต้องหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง อย่างคนปกติควรดื่มน้ำมะเขือเทศแค่ 2 แก้วหรือ 2
กล่องต่อวัน ร่างกายจะสามารถขับโปแตสเซียมออกหมด สำหรับการเลือกดื่มน้ำมะเขือเทศแบบกล่อง
ให้ระวังการเพิ่มโซเดียม จึงควรเลือกที่มีปริมาณโซเดียมต่ำเพราะในมะเขือเทศเองก็มีโซเดียมจาก
ธรรมชาติอยู่แล้ว หากเรากินเค็มมากไปจะทำให้ติดและทำให้เราไปกินอาหารอื่น ๆ รสเค็มด้วย
ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้
กินมะเขือเทศอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
นักโภชนาการแนะนำว่า สำหรับ ผู้หญิง ให้กินมะเขือเทศแบบสดเพราะมีไวตามินซี
และใยอาหาร ที่จะช่วยทำให้ผิวพรรณดี เต่งตึง ส่วนผู้ชายนั้น ให้เน้นแบบสุก เพราะช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้
ดังนั้นถ้าครอบครัวไหนมีลูกผู้ชาย ก็สามารถฝึกให้เด็กกินมะเขือเทศตั้งแต่เล็ก ๆ
เพื่อเป็นการปลูกฝังสิ่งดี ๆ ให้กับเขา
นอกจากนี้การกินมะเขือเทศสด
(ผ่านความร้อน) ดีกว่าการกินน้ำมะเขือเทศ
เพราะเราจะได้ทั้งใยอาหารและสารอาหารอื่นมากขึ้นด้วย
แนะมือใหม่ฝึกกิน "มะเขือเทศ"
สำหรับคนที่ไม่ชอบกินมะเขือเทศ มีวิธีง่าย ๆ
ที่จะช่วยฝึกให้เริ่มกินได้ โดยการทำน้ำมะเขือเทศด้วยตัวเอง เริ่มต้นจากการนำมะเขือเทศมาผ่านความร้อน
ด้วยการจุ่มน้ำร้อน ประมาณ 20 - 30 วินาที แล้วลอกเปลือกออก
จากนั้นนำไปปั่นใส่น้ำแข็งหรือโยเกิร์ตตามความชอบ หรืออาจจะผสมน้ำส้มสด น้ำมะนาว
น้ำผลไม้อื่น ๆ หรือน้ำผึ้งนิดหน่อยให้มีรสเปรี้ยว รสหวาน เข้ามาผสม
ก็จะทำให้กินง่ายขึ้น
"ส่วนเด็ก ๆ นั้น ต้องฝึกกันหน่อย
เพราะเด็กส่วนใหญ่ที่ไม่ชอบกินผักจะต่อต้าน และทำให้ติดนิสัยมาจนโต
ดังนั้นมีวิธีแก้ง่าย ๆ คือ นำเอาเมล็ดมะเขือเทศออกก่อน แล้วทำอาหารอะไรก็ได้ที่เด็กชอบ
สำคัญที่สุดเลย พ่อแม่ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกนะคะ
ในการรับประทานอาหารทุกครั้ง อย่าเขี่ยผักออกให้ลูกเห็นเด็ดขาด
เพราะถ้าพ่อแม่ไม่กินผัก ลูกก็จะไม่อยากกินผักแน่นอน
ดังนั้นเรารู้ดีว่าผักมีประโยชน์ การที่เราปลูกฝังลูกตั้งแต่ยังเล็กจะช่วยให้เขาได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์
จริง ๆ ไปจนโต"
อย่างไรก็ตาม ไลโคปีนก็เหมือนสารอาหารชนิดอื่น
ๆ ที่ร่างกายต้องการในปริมาณจำกัดและเพียงพอต่อวัน ถ้าเรากินมากเกินไปร่างกายก็จะขับออกมาถือว่าไม่มีประโยชน์
และอีกอย่างไลโคปีนนั้นไม่ใช่ยารักษาโรค เราต้องกินอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จึงจะมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแท้จริง
เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากินแบบผสมผสานกัน ร่างกายของเราก็จะได้รับสารอาหารอย่างสมดุลค่ะ
เรื่องโดย
ภาวิณี เทพคำราม Team
Content www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
No comments:
Post a Comment