Monday, October 22, 2012

รู้รึเปล่า...ลูกเราคบเพื่อนแบบไหน



เพื่อนลูกก็เหมือนเพื่อนเรา ต้องรู้จักรู้ใจกัน เพื่อลดปัญหา

"พอลูกเราอายุ 12 แล้ว ใจฉันมันว่างๆ โหวงๆ ยังไงชอบกลไม่รู้ละพี่" นิดระบายความในใจกับน้อย พี่สาวคนโตของเธอที่มีลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว 

"ติดเพื่อนละสิเจ้านุ่นน่ะ" น้อยดักคอ

"ทำนองนั้นมั้ง เมื่อก่อนยังแม่จ๊ะแม่จ๋า คุยกับเรากระหนุงกระหนิง ชวนไปไหนไปด้วยง่าย สอนอะไรก็เชื่อ ซื้อเสื้อผ้าให้ก็ใส่ได้หมด เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอยากจะอยู่ใกล้ๆ เราเท่าไหร่ อะไรก็เพื่อนๆๆ จะว่าฉันน้อยใจก็มีนิดหน่อยนะ ใครจะทำใจได้ แม่ลูกเคยหวานกันยังกะน้ำตาลชุบน้ำผึ้ง ไม่รู้จะเลือกคบเพื่อนดีๆ หรือพวกเกเร เจ้านุ่นไม่ทันใครเขาหรอก"

"ยัยนุ่นเขาเริ่มถึงวัยแล้ว ไงจ๊ะ นี่ยังอยู่ในขั้นธรรมดา ให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน พอวัยรุ่นซัก 15 ละก็จะเพื่อนทุกลมหายใจเข้าออกเชียวละนิด พี่ผ่านมาครบรสชาติแล้ว"

เมื่อลูกเริ่มย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น พ่อแม่ต้องตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ตอนนี้เพื่อนมีบทบาทกับลูกของเรามากขึ้นแล้วค่ะ นอกจากความรู้สึกน้อยใจลูกแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ความห่วงใยของคนเป็นพ่อแม่ พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกเลือกคบเพื่อนดีๆ ไม่ข้องแวะกับยาเสพย์ติด เรื่องเพศ หรือเรื่องที่เป็นอันตรายต่อตัวลูก

ถ้าเราปฏิบัติการเชิงรับอย่างเดียว อยู่บ้านหรือทำงานของเราไป พร่ำสอนเรื่องการคบเพื่อนให้ลูกเราไปจนหมดกระบวนวิชาเห็นจะไม่พอเพียง ต้องปฏิบัติการเชิงรุกบ้างแล้ว เพื่อให้เรารู้จักว่าลูกเราคบเพื่อนแบบไหน วางใจได้หรือไม่

แต่ก็นั่นแหละค่ะ การเข้าคลุกวงในกับลูกวัยนี้ ใช่ว่าจะเข้าไปวุ่นวายกับลูกมากเท่าที่เราต้องการได้ เราทำได้แค่ไม่ทำให้เขารู้สึกว่าพ่อแม่กำลังทำการแทรกแซงชีวิตและเพื่อนๆ จนกระเจิดกระเจิง

รู้จักเพื่อนลูกแค่ไหน

ทำความรู้จักกับเพื่อนของลูกหน่อยดีไหมคะ เพราะการเลือกคบเพื่อนบอกอะไรมากมายเกี่ยวกับตัวของลูกเอง ว่าลูกเรานั้นเป็นใครกัน เพื่อนของลูกเราเป็นแบบไหน ซื่อไร้เดียงสา พวกคงแก่เรียน เฉลียวฉลาด มาแนวอนุรักษ์นิยม รักเสียงเพลงและความทันสมัย หรือเป็นพวกนักกีฬากลางแจ้ง

ไม่ว่าเพื่อนลูกจะเป็นแบบไหน นี่คือสิ่งที่ลูกเรามองตัวเอง และต้องการจะให้คนอื่นๆ เห็นเขาเป็นอย่างนั้น

เราควรลองพูดคุยกับเพื่อนลูกแบบเป็นกันเอง สร้างบรรยากาศการคุยแบบสบายๆ ไม่ซักไซ้ละเอียดจนเด็กๆ อึดอัด พยายามทำความรู้จักเพื่อนลูกด้วยวิธีต่างๆ เช่น คุยกับลูกเราบ้าง พอรู้จัก หรือมีโอกาสพบกันก็พูดคุยทุกข์สุข และน่าจะลองทำความรู้จักกับเพื่อนของลูกเป็นรายคนไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เราต้องลดอายุลงเป็นพรีทีนเปรี้ยวใสวัยซ่าเพื่อเป็นหนึ่งในแก๊งเด็ก เพราะการลงทุนทำเช่นนั้นออกจะเป็นการก้าวล้ำเส้นไปหน่อยค่ะ

ถ้าเพื่อนลูกมาบ้าน ชวนคุยเรื่องกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่เพื่อนลูกสนใจบ้าง (อย่ายาวยืด) ชมชุดสวยถ้าแต่งตัวเพื่อไปเที่ยวกัน หรือแสดงความยินดีเมื่อเพื่อนลูกได้รับรางวัล การให้ความใส่ใจด้วยน้ำใสใจจริงในเพื่อนๆ ของลูก ลูกจะรู้สึกว่าเรายอมรับเพื่อนๆ เขาได้ และไว้วางใจเรา ลูกจะรู้สึกสบายใจขึ้นในการพูดคุยกับเรา หรือคลายการเก็บเรื่องการเข้าสังคมของตัวเองไว้เป็นความลับของตัวเองเพียงคน เดียว

แต่ถ้าหากเราแสดงท่าทางไม่สนใจไยดีในตัวเพื่อนลูกเมื่อพบหน้ากัน ลูกเราจะรู้สึกว่าระหว่างพ่อแม่และเพื่อนนั้นเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน เพราะฉะนั้นควรใส่ใจเพื่อนลูกด้วยค่ะ

อย่ารีบด่วนตัดสิน

เมื่อพบหน้าค่าตาเพื่อนลูกครั้งแรก หรือรู้จักเพียงผิวเผิน อย่ารีบด่วนสรุปว่าเพื่อนลูกเราเป็นอย่างไร การแต่งเนื้อแต่งตัว การใช้ภาษา หรือความสนใจของเด็กวัยนี้ บางคนอาจจะดูแปลกๆ ไปบ้าง เช่น แก่แดดแก่ลม หรือ เปรี้ยวเข็ดฟัน ซึ่งจะดูก้าวล้ำเกินวัยไปหน่อย ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนไม่มากนัก ถ้าเทียบกับเด็กนักเรียนทั้งห้องโดยทั่วไป เพราะพวกเขาจะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เหมือนพ่อแม่ เขามีความเป็นอิสระ และกำลังทดลองสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง เด็กที่ท่าทางและแต่งตัวดูมหัศจรรย์ในปีนี้ ปีหน้าก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นเด็กแต่งตัวเรียบร้อยได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะตัวเขาเองเปลี่ยนความสนใจไปสู่สิ่งอื่นๆ เช่น กิจกรรม หรือ การเรียน

การวิพากษ์วิจารณ์เพื่อนของลูกอย่างรุนแรง จะทำให้ลูกรู้สึกว่าไม่สามารถพาเพื่อนเข้าบ้านได้ เขาจะยิ่งห่างจากเราไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราเชื่อจริงๆ ว่าลูกเราเข้ากลุ่มเพื่อนไม่ดี หรือเลือกคบเพื่อนผิดประเภทแล้ว ต้องหาข้อมูลมาจริงๆ ไม่ใช่เกิดจากอคติเพียงอย่างเดียว และรู้เท่าทันไว้

ถ้าลูกสาวของเราเป็นเด็กที่มีคุณสมบัติดีๆ ในตัวเองมากมาย คุณสมบัติดังกล่าวอาจหายไปถ้าหากคบเพื่อนกลุ่มนี้ ลูกอาจเป็นเด็กดีในดวงใจพ่อแม่ หรือนักกีฬาคนเก่ง แต่ลูกคบอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่สนใจแค่เพียงการซื้อของหรือเอาแต่แต่งตัว หาเวลาที่ทั้งพ่อแม่ลูกรู้สึกสบายๆ พูดกับลูกทำนองว่า ลูกจะคบเพื่อนอย่างไรก็เป็นสิทธิในการเลือกของลูก แต่คิดไหมว่าเพื่อนเหล่านั้นไม่ใกล้เคียงกับความสามารถหรือความสนใจเหมือนตัวลูกจริงๆ ลูกจะพลาดเรื่องสนุกที่ดีกับตัวลูกไปบ้างไหม เราอาจพบว่าลูกเองก็เห็นด้วยกับสายตาของพ่อแม่ แต่ก็ยากที่จะหันไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนคนอื่น

พ่อแม่ช่วยแนะนำลูกให้มีความกล้าเข้าหาเพื่อนคนอื่นได้ค่ะ เช่น แนะนำลูกให้ชวนเพื่อนคนอื่นทำรายงานด้วยกัน ขอให้ช่วยสอนการบ้าน หรือชวนเพื่อนคนอื่นๆ มาทำโครงงานที่บ้านบ้าง

ถ้าเราไม่รู้แน่นอนว่าเพื่อนสนิทของลูกเกเร หรือเป็นตัวปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ควรไปห้ามลูกคบเพื่อนคนนั้นหรือ กลุ่มนั้น แต่ควรแสดงความคิดเห็นของเราให้ลูกรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร ลูกวัยนี้ยังพอเชื่อฟังพ่อแม่อยู่ แม้ว่าเขาจะแสดงตัวออกมาตรงข้าม เพราะฉะนั้นไม่ยากที่จะโน้มน้าวจิตใจลูก

จัดบริเวณให้ลูกและเพื่อนๆ

ถ้าเป็นไปได้ว่าบ้านเราพอจะมีมุมเล็กๆ หรือสัดส่วนพอจะยกให้เด็กๆ ใช้เป็นบริเวณส่วนตัวระหว่างลูกและเพื่อนๆ ได้ น่ามีค่ะ เด็กวัย 12 ต้องการเวลาอยู่กับเพื่อนเพื่อขลุกอยู่ด้วยกัน ซึ่งอาจจะดูเหมือนว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า แต่ความไร้สาระของลูกและเพื่อนๆ เป็นส่วนสำคัญในการเรียนรู้ตัวเองและคนอื่นๆเราอาจจะมีกิจกรรมสำหรับความสนใจที่สุดของลูกอยู่แล้ว เช่น เล่นเทนนิส ซ้อมดนตรีด้วยกัน ไปพิพิธภัณฑ์ หรือไปดูการแข่งขันกีฬา แต่ถ้าไม่ปล่อยเวลาให้เขาอยู่กับเพื่อนๆ บ้าง เราจะตัดโอกาสเรียนรู้การเข้าสังคมกับเพื่อน หรือการอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในอนาคต

เป็นพ่อแม่ที่ลูกไว้ใจได้

แม้ลูกจะเบนเข้าหาเพื่อน แต่ในความเป็นพ่อแม่แล้ว เรายังต้องคงความใกล้ชิดกับลูกวัยนี้ไว้ พ่อแม่บางคนอาจปล่อยลูกไปกับเพื่อนๆ เลย เพราะเห็นว่าลูกไม่ต้องการตัวเองแล้ว หรือบางคนภูมิใจที่ปล่อยลูกได้ เพราะดูเหมือนว่าลูกดูแลตัวเองได้ดี

คิดทบทวนใหม่ซิคะว่า ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญที่จะเชื่อมโยงทุกคนเข้าหากัน การสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูก เป็นหลักประกันที่ดีที่สุดในการที่ลูกของเราจะเลือกคบเพื่อนตามวิจารณญาณของพ่อแม่

เป็นพ่อแม่ที่ไว้ใจได้ทั้งสำหรับลูกและเพื่อนของลูก เปิดใจกว้างรับเพื่อนลูกไว้ดีกว่า เพื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อลูกเราหรือเพื่อนพบกับปัญหา เราจะได้เป็นที่ปรึกษาให้เด็กๆ ได้ทันท่วงทีค่ะ

โดย: ปลาเข็ม
แหล่งข้อมูลที่มา : นิตยสาร Life & Family / www.momypedia.com


No comments:

Post a Comment